สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) ไม่ว่าจะเป็นประเภท 1 ที่กระบวนการผลิตอินซูลินในร่างกายผิดปกติ ประเภท 2 ที่เกิดจากกรรมพันธุ์ หรือประเภทอื่นๆ ที่เกิดจากโรค ยาบางชนิด รวมถึงเบาหวานที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ ก็จะมีการตรวจวัดน้ำตาลในเลือด เป็นกิจวัตรที่ต้องทำเป็นประจำ ควบคู่กับการเข้ารับการรักษาจากแพทย์
แต่การจะเดินทางไปคลินิกหรือโรงพยาบาลบ่อยๆ เพื่อตรวจแค่น้ำตาลในเลือดแล้วกลับบ้าน ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องที่สะดวกสบายสักเท่าไหร่ เพราะการออกจากบ้านหนึ่งครั้งต้องเสียทั้งค่าใช้จ่าย และเวลาไปไม่น้อย ดังนั้นถ้าผู้ป่วยเบาหวานอยากใช้ชีวิตให้ง่ายขึ้น ก็ควรมี ‘เครื่องวัดน้ำตาลในเลือด’ เป็นอุปกรณ์สามัญประจำบ้าน เพราะจะช่วยให้การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดเป็นเรื่องง่ายขึ้น
รู้จักประโยชน์ของเครื่องวัดน้ำตาลในเลือด
การตรวจวัดน้ำตาลไม่ใช่การทำหัตถการขนาดใหญ่ หรือมีความเสี่ยงที่ต้องพึ่งพาเพียงบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น หากมีความเข้าใจ ใช้เครื่องมือเป็น และอ่านค่าได้อย่างถูกต้อง ใครๆ ก็สามารถทำได้ ฉะนั้นถ้าผู้ป่วยใช้เครื่องวัดน้ำตาลในเลือดได้ ก็จะเกิดประโยชน์มากมาย
1. ประหยัดค่าใช้จ่าย เนื่องจากเครื่องวัดน้ำตาลในเลือด 1 เครื่อง ใช้งานได้หลายครั้ง มีอายุการใช้งานยาวนาน ซึ่งเมื่อเทียบราคาเครื่องวัดน้ำตาลกับค่าเดินทางไปสถานพยาบาล และค่าบริการทางการแพทย์แล้ว เครื่องวัดน้ำตาลจะคุ้มค่ากว่ามาก
2. ประหยัดเวลา จากเดิมที่ต้องอาจต้องใช้เวลาไปหลายชั่วโมงกับการเดินทาง ไปเข้าคิวเจาะเลือด และรอผลตรวจ เมื่อมีเครื่องวัดน้ำตาลในเลือด จะช่วยลดระยะเวลาในขั้นตอนนี้ลงไปได้มาก เพราะสามารถรู้ผลลัพธ์ได้ภายในไม่กี่นาที
3. สะดวกสบายมากขึ้น เพราะเครื่องวัดน้ำตาลมักจะออกแบบมาในลักษณะ All in one คือมีแถบตรวจ ตัวอ่านค่าน้ำตาล และมีเข็มหรืออุปกรณ์เจาะเลือดอยู่ในชุดเดียวกัน ทำให้ไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรมากมาย ช่วยลดการสูญหาย และลดเวลาในการเตรียมตัวได้
4. ช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อดูแลตัวเองได้ทันท่วงที เพราะคนเราไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าเมื่อไหร่ที่ร่างกายจะเสื่อมลงจนทำให้น้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ หรือเมื่อไหร่ที่อาหารบางอย่างที่ทานเข้าไป จะมีปริมาณน้ำตาลสูงกว่าที่คิด
ข้อควรรู้ก่อนใช้เครื่องวัดน้ำตาลในเลือด
เมื่อทราบถึงประโยชน์ของการใช้เครื่องวัดน้ำตาลในเลือดแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ควรจะทราบคือค่ามาตรฐานน้ำตาลในเลือด ว่าปริมาณเท่าไหร่ถึงจะโอเค ไม่มากหรือไม่น้อยเกินไปจนอันตราย ซึ่งมีข้อมูลสำคัญดังนี้
1. ในสภาวะปกติ ผู้ป่วยเบาหวานควรมีปริมาณน้ำตาลในเลือดก่อนทานอาหารอยู่ที่ 80 – 130 mg/dL
2. ในสภาวะปกติ ผู้ป่วยเบาหวานควรมีปริมาณน้ำตาลในเลือดหลังทานอาหาร 2 ชั่วโมง น้อยกว่า 180 mg/dL
เรียกได้ว่าเป็นหน่วยวัดที่ค่อนข้างละเอียด จึงจำเป็นต้องพิถีพิถันในการเลือกใช้มือ เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ถูกแม่นยำที่สุด
เลือกเครื่องวัดน้ำตาลในเลือดอย่างไรดี
ในส่วนของการเลือกใช้เครื่องวัดน้ำตาลในเลือด สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยขั้นตอนเหล่านี้
1. เลือกให้เหมาะสมกับโรค เช่น เป็นเบาหวานในระยะแรกเริ่ม ที่ต้องการตรวจสอบน้ำตาลเป็นครั้งคราว อาจเน้นเครื่องที่ใช้ง่าย และแปลผลไวเป็นหลัก หรือหากเป็นเบาหวานเรื้อรังที่ต้องติดตามปริมาณน้ำตาลต่อเนื่องทุกวัน ควรเลือกใช้เครื่องที่มีหน่วยความจำเยอะ สามารถเก็บข้อมูลย้อนหลังได้ เป็นต้น
2. ตรวจสอบมาตรฐานการรับรอง เช่น ISO ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลกในการวัดคุณภาพของบริษัทผู้ผลิตเครื่อง
3. บริการหลังการขาย เพราะเครื่องวัดน้ำตาลในเลือดสามารถใช้ได้ยาวนาน ไม่ใช่สินค้าใช้แล้วทิ้ง ดังนั้นการให้บริการหลังการขาย เช่น ช่องทางติดต่อบริษัท การรับประกันสินค้า ก็เป็นเรื่องที่ควรนำมาพิจารณาด้วย
4. เลือกที่มีฟังก์ชั่นเสริม เพื่อเพิ่มความสะดวกมากยิ่งขึ้น เช่น มีปุ่มกดทิ้งแถบตรวจได้ทันที โดยไม่ต้องแกะออกมาทิ้งเอง มีแอปพลิเคชั่นช่วยจดบันทึกค่าน้ำตาลได้แบบเรียลไทม์ และเรียกดูย้อนหลังได้ เป็นต้น
หรือเลือกใช้เครื่องวัดน้ำตาลในเลือดของ ACCU-CHECK ซึ่งตอบโจทย์ทุกความต้องการ พร้อมช่วยให้การใช้ชีวิตของผู้ป่วยเบาหวานง่ายขึ้นกว่าเดิม คลิก https://www.accu-chek.co.th/